วิเคราะห์หุ้นกู้ IRPC รุ่นที่ 1/2568 ชุดที่ 5: ความเสี่ยง ผลตอบแทน และควรลงทุนหรือไม่?

4/14/2025

วิเคราะห์หุ้นกู้ IRPC รุ่นที่ 1/2568 ชุดที่ 5: ความเสี่ยง ผลตอบแทน และควรลงทุนหรือไม่?

หุ้นกู้ IRPC รุ่น1/2568 ชุดที่ 5
หุ้นกู้ IRPC รุ่น1/2568 ชุดที่ 5

ข้อมูลพื้นฐานของหุ้นกู้ IRPC ชุด 5 ปี 2568

ข้อมูลพื้นฐานจาก Factsheet

  • อายุตราสาร  : 9 ปี

  • อัตราดอกเบี้ยคงที่ : 4.35%

  • งวดการชำระดอกเบี้ย : ทุก 6 เดือน

  • การไถ่ถอนก่อนกำหนด : ไม่มี

  • มูลค่าเสนอขายรวม : ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท

  • หลักประกัน/ผู้ค้ำประกัน : ไม่มี

  • ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ : ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด มหาชน

  • วัตถุประสงค์การใช้เงิน : นำไปชำระหนี้เงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น

อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้

  • อันดับ : A-

  • แนวโน้ม : “คงที่”

  • จัดอันดับ : 3 ก.พ 2568 โดย บจก.ทริสเรทติ้ง

รายละเอียดอื่น

  • วันออกหุ้นกู้ : 25 มีนาคม 2568

  • วันครบกำหนดไถ่ถอน : 25 มกราคม 2577

  • ประเภทการเสนอขาย : ประชาชนทั่วไป

  • ผู้จัดจำหน่าย :ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

คำนวณดอกเบี้ยหุ้นกู้ IRPC รุ่น 1/2568 ชุดที่ 5

ความเสี่ยง

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

  1. ความเสี่ยงจากการความผันผวนของราคา (Price Volatility Risk)

    • ความเสี่ยงทางด้านราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมีความผันผวนสูง เนื่องมาจาก นโยบายของสหรัฐฯอเมริกาที่กีดกันทางการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น และราคาน้ำมันดิบได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อีกทั้งยังมีความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง

  2. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Currency Exchange Risk)

    • IRPC มีรายได้และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ผันผวน

  3. ความเสี่ยงด้านจัดหาเงินทุนและสภาพคล่อง (Funding & Liquidity Risk)

    • บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพื่อขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังมีภาระหนี้สินที่ครบกำหนดชำระ และต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนภายนอก ซึ่งอาจส่งผลทำให้บริษัทมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระและขาดสภาพคล่องได้

ระดับความเสี่ยง

  • ระดับความเสี่ยง : 3

บทวิเคราะห์ (เป็นเพียงการวิเคราะห์ส่วนตัวเท่านั้น)

เราจะวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

จากข้อมูลงบแสดงฐานะการเงินของบริษัท 3 ปี ย้อนหลัง พบว่า

  • บริษัทมีสินทรัพย์รวมในปี 2567 ประมาณ 184,555 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มลดลงลดจากปี 2566

  • ซึ่งการลดลงของสินทรัพย์สะท้อนถึงการปรับลดการลงทุนหรือการใช้สินทรัพย์เพื่อชำระหนี้

  • บริษัทหนี้สินรวมปี 2567 อยู่ที่ 114,447 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มลดลงจากปี 2566 ซึ่งคาดว่าที่หนี้สินลดลงอาจจะเป็นเพราะมีการชำระหนี้คืนบางส่วนออกไป

  • และจากงบการเงินจะเห็นว่าส่วนผู้ถือหุ้นมีการลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 7% โดยแสดงให้เห็นถึงผลขาดทุนสะสมที่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลต่อการจ่ายเงินปันผลในอนาคต

สัดส่วนหนี้ IRPC 1/2568
สัดส่วนหนี้ IRPC 1/2568

งบกำไรขาดทุนของบริษัทในปี 2567 นั้น

  • มีรายได้ลดลง และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ขาดทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

  • ซึ่งคาดว่ามาจากยอดขายที่ลดลงและราคาของผลิตภัณฑ์ที่มีการปรับตัวลดลงด้วย

  • อีกทั้งบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมากกว่ารายได้ ซึ่งส่งผลให้มี EBITDA ติดลบ

  • และทำให้ขาดทุนติดต่อกันคาดการณ์ว่าอาจจะมาจากการที่ครบกำหนดจ่ายดอกเบี้ยสถาบันการเงิน ดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ครบกำหนดต่างๆ จะเห็นสัดส่วนภาระหนี้ตามตารางด้านล่างนี้

    จากงบกระแสเงินสด

  • จะเห็นได้ว่ากระแสเงินดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก (3,712) ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 10,323 ล้านบาท

  • ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการฟื้นตัวในปี 2566 และ 2567 สะท้อนถึงสภาพคล่องที่ดีขึ้น

  • อีกทั้งกระแสเงินสดจากการลงทุนลดลดลงในปี 2567 แสดงให้เห็นว่าบริษัทลดการลงทุนลง เนื่องจากบริษัทอาจต้องการรักษาสภาพคล่อง

  • และกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินได้มีการชำระหนี้ออกไปในปี 2567 ทำให้กระแสเงินสดลดลงซึ่งสอดคล้องกับการกระแสเงินจากการดำเนินงานนั่นเอง

การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน

  1. สภาพคล่อง

    • Current Ratio เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับที่พอรับได้

    • Interest Coverage Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 1.82 เท่า แสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยยัลดลงจากปีก่อน ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากบริษัทขาดสภาพคล่อง

  2. โครงสร้างหนี้

    • D/E Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 1.63 แสดงถึงการเพิ่มสัดส่วนหนี้ต่อทุน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดี

    • หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.03 เท่า ยังอยู่ในระดับที่รับได้

    • Loan/IBD สูงขึ้น แสดงว่าบริษัทยังคงพึ่งพาการกู้ยืมจากธนาคารพอสมควร

  1. ผลประกอบการ

    • ผลตอบแทน ROA และ ROE ติดลบ สะท้อนว่าบริษัทยังมีปัญหาด้านการทำกำไร

    • EBIT Margin ติดลบ ชี้ให้เห็นว่าบริษัทอาจมีต้นทุนที่สูงกว่ารายได้ เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนทางการเงิน

วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ

ข้อดี-ข้อเสียของหุ้นกู้ IRPC

✅ ข้อดี

  1. ผลตอบแทนคงที่ : อัตราดอกเบี้ย 4.35% ต่อปี สูงกว่าหุ้นบางประเภทและดอกเบี้ยเงินฝาก

  2. อันดับเครดิต A- : แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ค่อนข้างดี

  3. สภาพคล่องดีขึ้น : กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก

❌ ข้อพิจารณา

  1. บริษัทขาดทุนต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่ไม่ดีสำหรับผู้ลงทุน

  2. รายได้ลดลงและค่าใช้จ่ายยังคงสูง ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร

  3. ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงต่อเนื่อง อาจกระทบต่อความมั่นคงทางการเงิน

  4. อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความเสี่ยงสูง จากความผันผวนของราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลก

  5. ไม่มีหลักประกัน หุ้นกู้นี้เป็นตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งหากบริษัทมีปัญหาด้านการเงิน อาจได้รับผลกระทบต่อการจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ย

  6. ตลาดรองอาจมีสภาพคล่องต่ำ อาจขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดได้ยาก หรืออาจได้ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ซื้อมา

หากรับความเสี่ยงได้ และต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีเครดิตเรตติ้ง "A-" หุ้นกู้ IRPC อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ควรพิจารณาผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำและสถานะทางธุรกิจที่ยังไม่แข็งแกร่งมากนัก

สรุป: ควรลงทุนในหุ้นกู้นี้หรือไม่?

✅ เหมาะกับนักลงทุนที่:

  • หุ้นกู้ให้ดอกเบี้ย 4.35% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าฝากธนาคาร

  • อันดับเครดิต A- แสดงถึงความสามารถชำระหนี้ที่ดี

  • เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากผลประกอบการที่ผันผวนของ IRPC ได้

⚠️ อาจไม่เหมาะสำหรับ:

  • ต้องการความปลอดภัยสูงหรือไม่ต้องการความเสี่ยงด้านตลาดพลังงาน

  • ผลประกอบการยังขาดทุน: ROE และกำไรสุทธิยังติดลบต่อเนื่อง

  • ความเสี่ยงจากราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนยังคงมีอยู่

ที่มา : https://market.sec.or.th

หุ้นกู้ IRPC อื่นๆ