วิเคราะห์หุ้นกู้ IRPC รุ่นที่ 1/2568 ชุดที่ 1: ความเสี่ยง ผลตอบแทน และควรลงทุนหรือไม่?
3/27/2025
วิเคราะห์หุ้นกู้ IRPC รุ่นที่ 1/2568 ชุดที่ 1: ความเสี่ยง ผลตอบแทน และควรลงทุนหรือไม่?


เนื้อหาในบทความนี้ (คลิกเพื่ออ่านพาร์ทที่สนใจได้เลย!!)
ข้อมูลพื้นฐานของหุ้นกู้ IRPC รุ่น 1/2568 ชุดที่ 1
ข้อมูลพื้นฐานจาก Factsheet
อายุตราสาร : 2 ปี 10 เดือน
อัตราดอกเบี้ยคงที่ : Zero Coupon
หุ้นกู้ประเภทที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย (Zero-Coupon Bond) ก็คือ หุ้นกู้ที่จะกำหนดราคาขายไว้ต่ำกว่าราคาที่ตราไว้ นั่นหมายความว่า วันที่เราซื้อหุ้นกู้เราจะชำระเงินที่ราคาส่วนลด แต่เมื่อเราถือหุ้นกู้จนครบกำหนด ผู้ออกหุ้นกู้จะคืนเงินให้เราเต็มจำนวนตามมูลค่าที่กำหนดไว้
งวดการชำระดอกเบี้ย : ไม่มี
การไถ่ถอนก่อนกำหนด : ไม่มี
มูลค่าเสนอขายรวม : ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท
หลักประกัน/ผู้ค้ำประกัน : ไม่มี
ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ : ไม่มี
วัตถุประสงค์การใช้เงิน : นำไปชำระหนี้คืนหุ้นกู้เดิมและเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น
อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้
อันดับ : A-
แนวโน้ม : “คงที่”
จัดอันดับ : 3 ก.พ 2568 โดย บจก.ทริสเรทติ้ง
รายละเอียดอื่น
วันออกหุ้นกู้ : 25 มีนาคม 2568
วันครบกำหนดไถ่ถอน : 25 มกราคม 2571
ประเภทการเสนอขาย : ผู้ลงทุนสถาบัน
ผู้จัดจำหน่าย :ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
คำนวณดอกเบี้ยหุ้นกู้ IRPC รุ่น 1/2568 ชุดที่ 1
ความเสี่ยง
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ความเสี่ยงจากการความผันผวนของราคา (Price Volatility Risk)
ความเสี่ยงทางด้านราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมีความผันผวนสูง เนื่องมาจาก นโยบายของสหรัฐฯอเมริกาที่กีดกันทางการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น และราคาน้ำมันดิบได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อีกทั้งยังมีความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง
ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Currency Exchange Risk)
IRPC มีรายได้และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ผันผวน
ความเสี่ยงด้านจัดหาเงินทุนและสภาพคล่อง (Funding & Liquidity Risk)
บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพื่อขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังมีภาระหนี้สินที่ครบกำหนดชำระ และต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนภายนอก ซึ่งอาจส่งผลทำให้บริษัทมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระและขาดสภาพคล่องได้


ระดับความเสี่ยง
ระดับความเสี่ยง : 3
บทวิเคราะห์ (เป็นเพียงการวิเคราะห์ส่วนตัวเท่านั้น)
เราจะวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง
จากข้อมูลงบแสดงฐานะการเงินของบริษัท 3 ปี ย้อนหลัง พบว่า บริษัทมีสินทรัพย์รวมลดลงในปี 2566 อยู่ที่ ประมาณ 893,601 ล้านบาท และในไตรมาสที่ 3 ในปี 2567 มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 867,046 ล้านบาท ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีการลดลงอย่างต่อเนื่อง


จากข้อมูลงบแสดงฐานะการเงินของบริษัท 3 ปี ย้อนหลัง พบว่า
บริษัทมีสินทรัพย์รวมในปี 2567 ประมาณ 184,555 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มลดลงลดจากปี 2566
ซึ่งการลดลงของสินทรัพย์สะท้อนถึงการปรับลดการลงทุนหรือการใช้สินทรัพย์เพื่อชำระหนี้
บริษัทหนี้สินรวมปี 2567 อยู่ที่ 114,447 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มลดลงจากปี 2566 ซึ่งคาดว่าที่หนี้สินลดลงอาจจะเป็นเพราะมีการชำระหนี้คืนบางส่วนออกไป
และจากงบการเงินจะเห็นว่าส่วนผู้ถือหุ้นมีการลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 7% โดยแสดงให้เห็นถึงผลขาดทุนสะสมที่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลต่อการจ่ายเงินปันผลในอนาคต


งบกำไรขาดทุนของบริษัทในปี 2567 นั้น
มีรายได้ลดลง และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ขาดทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งคาดว่ามาจากยอดขายที่ลดลงและราคาของผลิตภัณฑ์ที่มีการปรับตัวลดลงด้วย
อีกทั้งบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมากกว่ารายได้ ซึ่งส่งผลให้มี EBITDA ติดลบ
และทำให้ขาดทุนติดต่อกันคาดการณ์ว่าอาจจะมาจากการที่ครบกำหนดจ่ายดอกเบี้ยสถาบันการเงิน ดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ครบกำหนดต่างๆ จะเห็นสัดส่วนภาระหนี้ตามตารางด้านล่างนี้
จากงบกระแสเงินสด
จะเห็นได้ว่ากระแสเงินดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก (3,712) ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 10,323 ล้านบาท
ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการฟื้นตัวในปี 2566 และ 2567 สะท้อนถึงสภาพคล่องที่ดีขึ้น
อีกทั้งกระแสเงินสดจากการลงทุนลดลดลงในปี 2567 แสดงให้เห็นว่าบริษัทลดการลงทุนลง เนื่องจากบริษัทอาจต้องการรักษาสภาพคล่อง
และกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินได้มีการชำระหนี้ออกไปในปี 2567 ทำให้กระแสเงินสดลดลงซึ่งสอดคล้องกับการกระแสเงินจากการดำเนินงานนั่นเอง
การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
สภาพคล่อง
Current Ratio เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับที่พอรับได้
Interest Coverage Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 1.82 เท่า แสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยยัลดลงจากปีก่อน ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากบริษัทขาดสภาพคล่อง
โครงสร้างหนี้
D/E Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 1.63 แสดงถึงการเพิ่มสัดส่วนหนี้ต่อทุน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดี
หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.03 เท่า ยังอยู่ในระดับที่รับได้
Loan/IBD สูงขึ้น แสดงว่าบริษัทยังคงพึ่งพาการกู้ยืมจากธนาคารพอสมควร
ผลประกอบการ
ผลตอบแทน ROA และ ROE ติดลบ สะท้อนว่าบริษัทยังมีปัญหาด้านการทำกำไร
EBIT Margin ติดลบ ชี้ให้เห็นว่าบริษัทอาจมีต้นทุนที่สูงกว่ารายได้ เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนทางการเงิน


วิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
ข้อดี-ข้อเสียของหุ้นกู้ IRPC
✅ ข้อดี
อันดับเครดิตอยู่ในระดับ A- (ค่อนข้างดี)
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก แสดงถึงความสามารถในการบริหารสภาพคล่อง
บริษัทมีการลดภาระหนี้สิน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงด้านหนี้ระยะยาว
หุ้นกู้ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินประจำ
❌ ข้อพิจารณา
บริษัทขาดทุนต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่ไม่ดีสำหรับผู้ลงทุน
รายได้ลดลงและค่าใช้จ่ายยังคงสูง ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร
ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงต่อเนื่อง อาจกระทบต่อความมั่นคงทางการเงิน
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีความเสี่ยงสูง จากความผันผวนของราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลก
ไม่มีดอกเบี้ย (Zero Coupon Bond) นักลงทุนต้องถือจนครบกำหนดเพื่อได้รับผลตอบแทนเต็มที่
หากรับความเสี่ยงได้ อาจพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุน แต่ถ้าเน้นผลตอบแทนที่แน่นอนและมั่นคงกว่านี้ อาจมองหาตราสารหนี้อื่นที่ให้ดอกเบี้ยเป็นรายงวดแทน
สรุป: ควรลงทุนในหุ้นกู้นี้หรือไม่?
✅ เหมาะกับนักลงทุนที่:
ต้องการผลตอบแทน 3.34% (ในกรณีที่ถือครบกำหนด โดยไม่ได้ดอกเบี้ยเป็นรายงวด) โดยไม่มีความผันผวนของราคาหุ้น
รับความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้
ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี
⚠️ อาจไม่เหมาะสำหรับ:
ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่านี้
ไม่ต้องการถือหุ้นกู้จนถึงครบกำหนด
กังวลเกี่ยวกับผลประกอบการที่ยังขาดทุนของบริษัท
ที่มา : https://market.sec.or.th
หุ้นกู้ IRPC ชุดอื่นๆ
Finance
Simplifying finance for everyday workers and investors.
Contact us
moneysummary.io@gmail.com
"Please contact us by writing the email subject as 'Contact Moneysummary.io Website."
© 2025. All rights reserved.