ทำความเข้าใจ 3 ศัพท์การลงทุนยอดฮิต เช่น ROI, P/E, DCA คู่มือการลงทุนสำหรับนักลงทุนมือใหม่

9/14/2025

ถอดรหัสศัพท์การลงทุน: ROI, P/E, DCA คืออะไร?

การลงทุนเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็อยากเริ่ม แต่พออ่านหนังสือหรือบทความ กลับเต็มไปด้วยศัพท์แปลก ๆ เช่น ROI, P/E, DCA จนงงว่า “จริง ๆ แล้วมันคืออะไร?” และที่สำคัญ “เกี่ยวข้องกับการลงทุนของเรายังไง บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจ 3 ศัพท์การลงทุนยอดฮิต ที่ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ก็มักได้ยินอยู่เสมอ

ROI (Return on Investment): วัดผลตอบแทนจากการลงทุน

มาเริ่มกันที่คำแรกที่ได้ยินบ่อยที่สุดอย่าง "ROI" หรือชื่อเต็มๆ ว่า Return on Investment ถ้าแปลตรงตัวก็คือ "ผลตอบแทนจากการลงทุน" นั่นเอง ซึ่ง ROI เป็นเหมือนตัวชี้วัดความคุ้มค่าของการลงทุน ว่าเราลงทุนไปแล้วได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ ยิ่งค่า ROI สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงว่าการลงทุนนั้นทำกำไรได้ดีเท่านั้น โดยจะเห็นว่า ROI ใช้ได้กับการลงทุนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะซื้อหุ้น ซื้อกองทุน หรือแม้แต่ซื้ออสังหาฯ

สูตรคำนวณ : ROI = (ต้นทุนการลงทุนกำไรสุทธิ​)×100%

ตัวอย่างที่ 1: การลงทุนในหุ้น

คุณซื้อหุ้นบริษัท A ในราคา 10,000 บาท ผ่านไป 1 ปี หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 บาท และได้รับเงินปันผลอีก 500 บาท

  • กำไรสุทธิ: (12,000 - 10,000) + 500 = 2,500 บาท

  • ต้นทุนการลงทุน: 10,000 บาท

  • คำนวณ ROI: (2,500 / 10,000) x 100% = 25%

  • หมายความว่า การลงทุนในหุ้นบริษัท A ครั้งนี้ ให้ผลตอบแทน 25%

ตัวอย่างที่ 2: การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

คุณซื้อคอนโดปล่อยเช่าในราคา 2,000,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการตกแต่งและซ่อมแซมอีก 100,000 บาท รวมเป็นต้นทุนทั้งหมด 2,100,000 บาท

  • คุณปล่อยเช่าได้เดือนละ 10,000 บาท ปีนึงก็คือ 10,000 x 12 = 120,000 บาท

  • กำไรสุทธิรายปี: 120,000 บาท

  • ต้นทุนการลงทุน: 2,100,000 บาท

  • คำนวณ ROI: (120,000 / 2,100,000) x 100% ≈ 5.7%

ทำไม ROI ถึงสำคัญ?

  • ใช้เปรียบเทียบการลงทุน: ช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนในสินทรัพย์ไหนดี

  • วัดผลการลงทุน: ทำให้รู้ว่าการลงทุนที่ผ่านมามีประสิทธิภาพแค่ไหน

  • วางแผนการลงทุน: ช่วยให้เราตั้งเป้าหมายและวางแผนการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง

สรุป

เป็นยังไงกันบ้างคะ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจศัพท์การลงทุนพื้นฐานอย่าง ROI, P/E Ratio และ DCA ได้มากขึ้นนะคะ การลงทุนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ขอแค่เรามีความเข้าใจในเครื่องมือพื้นฐาน รู้จักวางแผน และมีวินัยในการลงทุน ไม่ต้องเป็นกูรู หรือมีเงินถุงเงินถังก็สามารถเริ่มลงทุนได้

P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio): หุ้นตัวนี้แพงหรือถูกดูยังไง

มาต่อกันที่ศัพท์ตัวที่สองอย่าง "P/E Ratio" ย่อมาจาก Price-to-Earnings Ratio หรือ "อัตราส่วนราคาต่อกำไร" ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้ประเมิน "ราคา" ของหุ้นว่า "แพง" หรือ "ถูก" เมื่อเทียบกับ "กำไร" ของบริษัท หรือก็คือการบอกว่า "ถ้าอยากได้กำไรจากบริษัทนี้ 1 บาท ต้องยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นในราคาเท่าไหร่

สูตรคำนวณ: P/E = ราคาหุ้น ÷ กำไรต่อหุ้น (EPS)

ตัวอย่าง : บริษัท B มีราคาหุ้นอยู่ที่ 50 บาท และมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 5 บาท

วิธีคำนวณ : P/E Ratio: 50 / 5 = 10 เท่า หมายความว่า ถ้าคุณอยากได้กำไร 1 บาทจากบริษัท B คุณต้องจ่ายเงินซื้อหุ้น 10 บาทนั่นเอง

แล้ว P/E Ratio เท่าไหร่ถึงจะดี?

โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนมักมองว่า

  • P/E Ratio ต่ำ: แปลว่าหุ้นราคาถูกเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ มีโอกาสเติบโตสูง (แต่ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยนะ)

  • P/E Ratio สูง: แปลว่าหุ้นราคาแพง อาจเพราะนักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทจะเติบโตได้อีกมากในอนาคต

แต่การจะตัดสินว่า P/E Ratio เท่าไหร่ถึงจะดีนั้น ไม่มีตายตัวเนื่องจากมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน: P/E ของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมักจะสูงกว่า P/E ของหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์, ต้องดูแนวโน้มการเติบโต: หุ้นของบริษัทที่กำลังเติบโตสูงๆ มักจะมี P/E Ratio ที่สูงกว่าบริษัทที่เติบโตช้าๆ,ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบ: เช่น หนี้สินของบริษัท สภาพเศรษฐกิจ และข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สรุปง่ายๆ ก็คือ P/E Ratio เป็นแค่หนึ่งในเครื่องมือ ที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวม ไม่ใช่ทั้งหมดของการตัดสินใจลงทุน

DCA (Dollar-Cost Averaging) ลงทุนแบบถัวเฉลี่ย

มาถึงคำศัพท์สุดท้ายที่สำคัญมากๆ สำหรับมือใหม่ทุกคน นั่นก็คือ "DCA" หรือชื่อเต็มๆ ว่า Dollar-Cost Averaging DCA คือ "การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย DCA หรือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน คือการลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กันในทุก ๆ งวด เช่น ลงทุนเดือนละ 3,000 บาท ไม่ว่าราคาหุ้นหรือกองทุนจะแพงหรือถูก

ตัวอย่าง: การลงทุนแบบ DCA

คุณต้องการลงทุนในกองทุนรวมเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน

  • เดือนที่ 1: ราคาหน่วยลงทุนอยู่ที่ 10 บาท คุณซื้อได้ 3,000 / 10 = 300 หน่วย

  • เดือนที่ 2: ราคาหน่วยลงทุนลดลงเหลือ 8 บาท คุณซื้อได้ 3,000 / 8 = 375 หน่วย

  • เดือนที่ 3: ราคาหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 12 บาท คุณซื้อได้ 3,000 / 12 = 250 หน่วย

รวม 3 เดือน:

  • เงินลงทุนทั้งหมด: 3,000 + 3,000 + 3,000 = 9,000 บาท

  • จำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมด: 300 + 375 + 250 = 925 หน่วย

  • ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย: 9,000 / 925 ≈ 9.73 บาท

จะเห็นว่าแม้ราคาจะขึ้นๆ ลงๆ แต่ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยที่เราซื้อได้กลับอยู่ที่ 9.73 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาในเดือนที่ 1 และเดือนที่ 3 นั่นเอง

DCA เหมาะกับใคร?

  • มือใหม่ที่ไม่มีเวลาติดตามตลาด: เพราะไม่ต้องเสียเวลามานั่งเฝ้าหน้าจอ

  • คนที่ไม่มีความรู้ด้านการวิเคราะห์: ไม่ต้องกังวลว่าจะซื้อผิดจังหวะ

  • คนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการลงทุน: DCA ช่วยกระจายความเสี่ยงด้านราคา

  • คนที่ต้องการสร้างวินัยในการออม: เป็นการบังคับตัวเองให้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ