Value vs Growth Investing: แบบไหนดีกว่า ต่างกันยังไง?

9/8/2025

Value Investing vs Growth Investing เลือกลงทุนแบบไหนดี

หุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีอยู่เยอะมาก และมีลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน ตามปัจจัยพื้นฐาน อีกทั้งยังต้องตามเทรนด์ตลาดอีกด้วย ทำให้เกิดคำถามอย่างมากว่า "หุ้นตัวไหนเหมาะกับเรา" และควรลงทุนอย่างไร ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Value Investing กับ Growth Investing ต่างกันยังไง เหมาะกับใคร ข้อดี-ข้อเสียมีอะไรบ้าง และที่สำคัญ…เราควรเลือกแนวทางไหนให้เหมาะกับเป้าหมายของตัวเอง

Value Investing คืออะไร?

Value Investing หรือ “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” คือการมองหาหุ้นที่ “ราคาตลาดถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง” นักลงทุนกลุ่มนี้เปรียบเสมือนนักล่าสมบัติ ที่ชอบมองหาของดีราคาถูกหรือก็คือการซื้อหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาที่ซื้อขายอยู่ในตลาด ณ ปัจจุบัน นักลงทุนกลุ่มนี้จะใช้การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท (หรือที่เรียกว่า Intrinsic Value) โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ เช่น งบการเงินของบริษัท,กระแสเงินสด ,คุณภาพของผู้บริหาร ,ส่วนแบ่งการตลาด เมื่อนักลงทุนพบหุ้นที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง พวกเขาจะเข้าซื้อและถือครองไว้ โดยเชื่อว่าในระยะยาว ตลาดจะปรับราคาให้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทในที่สุด

ข้อดี

  • ความปลอดภัยสูงกว่า: การซื้อหุ้นที่ราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงช่วยสร้าง "Margin of Safety" หรือส่วนเผื่อความปลอดภัย ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยลงหากตลาดเกิดความผันผวน

  • สร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว: แม้จะไม่ได้หวือหวาในระยะสั้น แต่การถือหุ้นดีราคาถูกในระยะยาวมักจะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและน่าพอใจ เมื่อตลาดปรับตัวเข้าหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

  • ไม่ต้องคอยติดตามข่าวรายวัน: เมื่อคุณมั่นใจในพื้นฐานของบริษัทแล้ว การลงทุนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องคอยติดตามข่าวสารรายวันตลอดเวลา

ข้อเสีย

  • ต้องใช้เวลาและความอดทนสูง: การรอให้ตลาดปรับราคาให้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงอาจใช้เวลานาน บางครั้งอาจเป็นหลายปี ซึ่งอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเร็ว

  • อาจพลาดโอกาสในหุ้นที่เติบโตสูง: การมุ่งเน้นแต่หุ้นราคาถูกอาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมและเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก

Growth Investing คืออะไร?

Growth Investing หรือ “การลงทุนแบบเน้นการเติบโต” ส่วนมากจะเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในอนาคตเป็นหลัก นักลงทุนกลุ่มนี้เชื่อว่าบริษัทที่มีการเติบโตสูงจะสามารถสร้างกำไรและรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว โดยปัจจัยที่นักลงทุนส่วนมากพิจารณา คือ การเติบโตของรายได้และกำไรในอดีตและอนาคต,นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ, การขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่, ศักยภาพในการเป็นผู้นำตลาดในอนาคต, แนวโน้มของอุตสาหกรรม (เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี, พลังงานสะอาด)

ข้อดี:

  • โอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูง: หากคุณเลือกบริษัทที่ถูกต้องและบริษัทนั้นสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นก็มีโอกาสพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้คุณสามารถสร้างผลกำไรมหาศาลได้ในระยะเวลาอันสั้น

  • สนุกและท้าทาย: การวิเคราะห์เทรนด์และค้นหาบริษัทที่กำลังจะพลิกโฉมวงการเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับนักลงทุนที่ชอบความใหม่

ข้อเสีย:

  • ความเสี่ยงสูง: หุ้นกลุ่มนี้มีความผันผวนสูงมาก หากบริษัทไม่สามารถเติบโตตามที่คาดหวัง หรือมีคู่แข่งใหม่เข้ามา ราคาหุ้นก็อาจร่วงลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว

  • ต้องคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: แนวโน้มและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก นักลงทุนแบบ Growth Investor ต้องคอยอัปเดตข้อมูลและข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนยังคงเป็นไปตามทิศทางที่ถูกต้อง

คุณเหมาะกับการลงทุนแบบไหน?

การลงทุนไม่มีตายตัว แต่ละแนวทางมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป สิ่งสำคัญที่สุด เราต้องเลือกการลงทุนเหมาะสมกับตัวเรา มากที่สุด ซึ่งอาจพิจารณาได้จากปัจจัยเหล่านี้

  1. สไตล์และทัศนคติส่วนตัว

    • คุณเป็นคนใจเย็นและอดทนรอได้หรือไม่? ถ้าใช่ คุณอาจจะเหมาะกับ Value Investing ที่ต้องใช้เวลาในการรอให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาสู่มูลค่าที่แท้จริง

    • คุณเป็นคนชอบติดตามข่าวสารและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดเวลาหรือไม่? ถ้าใช่ คุณอาจจะสนุกไปกับ Growth Investing ที่ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต

    2. ความเสี่ยงที่ยอมรับได้

    • Growth Investing มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนสูงมาก แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่าเช่นกัน เพราะการเติบโตอาจไม่เป็นไปตามที่คาดไว้และราคาหุ้นอาจตกฮวบได้ง่าย

    • Value Investing มีความเสี่ยงต่ำกว่าในแง่ของความผันผวนของราคาหุ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่ราคาหุ้นอาจไม่ปรับตัวขึ้นไปอย่างที่คาดหวัง

    3. เป้าหมายการลงทุน

    • หากคุณต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวอย่างมั่นคงและค่อยเป็นค่อยไป Value Investing อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี

    • หากคุณต้องการสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะเวลาที่สั้นกว่าและยอมรับความเสี่ยงได้ Growth Investing อาจจะตอบโจทย์คุณได้มากกว่า

สรุป

โลกแห่งความเป็นจริง นักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่เลือกใช้การลงทุนแบบผสมทั้ง 2 กลยุทธ์ เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น เช่น อาจจะลงทุนในหุ้นที่เป็น Value Stock (บริษัทใหญ่ที่มั่นคง) เป็นหลัก เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ ในขณะเดียวกัน สามารถแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนใน Growth Stock (บริษัทขนาดเล็กที่มีศักยภาพสูง) เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น ซึ่งการลงทุนแบบนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยง อีกทั้งยังสร้างกำไรจาการลงทุนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย