อัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาวุธสำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทย

8/11/2025

ดอกเบี้ย…ที่มากกว่าเรื่องตัวเลข: เมื่ออัตราดอกเบี้ยเปลี่ยน ชีวิตเราเปลี่ยนตาม

เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงต้องสนใจเรื่อง "อัตราดอกเบี้ยนโยบาย" ฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวและน่าเบื่อใช่ไหมคะ แต่บอกเลยว่าเรื่องนี้อยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยค่ะ โดยให้ลองนึกภาพตามนะคะ เหมือนกับชีวิตเรามีจังหวะของตัวเอง บางช่วงเร่งรีบ บางช่วงช้าลง อัตราดอกเบี้ยก็เปรียบเสมือน “จังหวะ” ที่ธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งประเทศไทยใช้ควบคุมเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป ก็ต้องเบรกให้ช้าลงหน่อย หรือหากซบเซาเกินไป ก็ต้องกระตุ้นให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่า เจ้าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ว่านี้มันคืออะไร แล้วทำไมเวลาที่ธนาคารกลางประกาศปรับขึ้นหรือลดแต่ละครั้ง ถึงทำให้เราต้องมานั่งคิดตามว่ามันจะส่งผลกับชีวิตของเราอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้จ่าย การกู้ยืม การออม หรือแม้แต่การลงทุนก็ตาม

อัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไรล่ะ

ธนาคารกลางมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ประเทศอยู่ในจังหวะที่เหมาะสม ไม่ร้อนแรงเกินไปและไม่ซบเซาเกินไป โดยมีเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งคือการปรับ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมระหว่างกัน และใช้เป็นฐานในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ โดยเปรียบง่ายๆคือ

  • ถ้าเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป (คนใช้จ่ายเยอะ, ของแพง): ธนาคารกลางจะ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ย เพื่อทำให้การกู้ยืมแพงขึ้นและคนอยากออมเงินมากขึ้น ส่งผลให้คนลดการใช้จ่ายลง และช่วยชะลอเงินเฟ้อ

  • ถ้าเศรษฐกิจซบเซาเกินไป (คนไม่ใช้จ่าย, ธุรกิจไม่ไปต่อ): ธนาคารกลางจะ “ลด” อัตราดอกเบี้ย เพื่อทำให้การกู้ยืมถูกลงและคนอยากกู้เงินไปลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้คนกล้าใช้จ่ายมากขึ้น และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

ทำไมต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย?

1. ควบคุมเงินเฟ้อ - ถ้าราคาอาหาร น้ำมัน หรือค่าครองชีพพุ่งเร็วเกินไป ธนาคารกลางจะปรับดอกเบี้ยขึ้น เพื่อทำให้การกู้ยืมแพงขึ้น ลดการใช้จ่าย และทำให้เงินเฟ้อชะลอลง

2. กระตุ้นเศรษฐกิจ - ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา คนตกงานเยอะ หรือธุรกิจไม่ลงทุน ธนาคารกลางอาจปรับดอกเบี้ยลงเพื่อให้กู้เงินถูกขึ้น ทำให้คนและธุรกิจกล้าลงทุนมากขึ้น

3. รักษาเสถียรภาพค่าเงิน ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมักทำให้เงินตราของประเทศแข็งค่า เพราะนักลงทุนต่างชาติสนใจนำเงินมาฝากหรือลงทุน แต่ดอกเบี้ยที่ต่ำอาจทำให้เงินอ่อนลงได้

ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุด การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ คง อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี

เหตุผลหลักที่ กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ มาจากการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกฟื้นตัวดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก และมีการปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) สำหรับปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.3% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2% และอาจมีการปรับลดอีกในวันที่ 13 ส.ค 2568

แล้วการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรายังไงกันนะ?

อยากจะบอกว่าเกี่ยวกันสุดๆไปเลยค่ะ เนื่องจากการปรับดอกเบี้ยนโยบายแต่ละครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจเป็นลูกโซ่ อีกทั้งยังส่งผลกรทบต่อตัวเราอีกด้วย เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่ากระทบอะไรบ้าง

1. ผลกระทบต่อการกู้ยืมและผ่อนจ่าย นี่คือผลกระทบที่เห็นชัดเจนและใกล้ตัวที่สุดเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือการใช้บัตรเครดิต การปรับอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบโดยตรงกับยอดผ่อนจ่ายในแต่ละเดือนของเรา

เมื่ออัตราดอกเบี้ย “ขึ้น” ลองนึกภาพตามนะคะว่าคุณกำลังผ่อนบ้านอยู่ การที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นก็เหมือนกับค่าเช่าเงินที่เรากู้มามันแพงขึ้น ทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนของเราสูงขึ้นตามไปด้วยค่ะยกตัวอย่าง: คุณกู้ซื้อบ้านมูลค่า 3,000,000 บาท ระยะเวลา 30 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว

  • เดิม ดอกเบี้ยอยู่ที่ 3% ต่อปี ยอดผ่อนต่อเดือนประมาณ 12,648 บาท

  • เมื่อดอกเบี้ยขึ้น เป็น 5% ต่อปี ยอดผ่อนต่อเดือนจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 16,104 บาท

  • สรุป ยอดผ่อนต่อเดือนเพิ่มขึ้นถึง 3,456 บาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ

สำหรับคนที่กำลังจะกู้ซื้อบ้านหรือรถในช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังสูงขึ้น ก็อาจจะทำให้ตัดสินใจยากขึ้น เพราะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นนั่นเองค่ะ

เมื่ออัตราดอกเบี้ย “ลด” ในทางกลับกัน ถ้าดอกเบี้ยลดลง ยอดผ่อนต่อเดือนของเราจะลดลง ทำให้เรามีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้น หรือถ้าใครกำลังจะกู้ก็อาจจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะภาระผ่อนต่อเดือนลดลง

ยกตัวอย่าง: คุณกู้ซื้อรถมูลค่า 1,000,000 บาท ผ่อน 5 ปี

  • เดิม ดอกเบี้ยอยู่ที่ 5% ต่อปี ยอดผ่อนต่อเดือนประมาณ 18,871 บาท

  • เมื่อดอกเบี้ยลด เป็น 3% ต่อปี ยอดผ่อนต่อเดือนจะลดลงเหลือประมาณ 18,000 บาท

  • สรุป ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง 871 บาท ซึ่งทำให้เรามีเงินเหลือไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้น

2. ผลกระทบต่อการออมเงิน สำหรับสายออมเงินบอกเลยว่าเรื่องนี้มีทั้งด้านดีและด้านเสียค่ะ

เมื่ออัตราดอกเบี้ย “ขึ้น” การที่ดอกเบี้ยขึ้นหมายถึงค่าตอบแทนที่เราได้รับจากการฝากเงินจะสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เราได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากมากขึ้น และมีแรงจูงใจในการออมเงินมากขึ้นอีกด้วย

ยกตัวอย่าง: คุณมีเงินฝากประจำ 1,000,000 บาท

  • เดิม อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.5% ต่อปี ได้ดอกเบี้ย 5,000 บาทต่อปี

  • เมื่อดอกเบี้ยขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 1.5% ต่อปี ได้ดอกเบี้ย 15,000 บาทต่อปี

  • สรุป ดอกเบี้ยที่ได้รับเพิ่มขึ้นถึง 10,000 บาทต่อปี! แค่นั่งเฉยๆ เงินก็งอกเงยขึ้นแล้ว

เมื่ออัตราดอกเบี้ย “ลด” ดอกเบี้ยที่เราได้รับจากเงินฝากก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้คนอาจจะรู้สึกว่าการฝากเงินในธนาคารไม่คุ้มค่าเท่าเดิม และมองหาช่องทางการลงทุนอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า

3. ผลกระทบต่อการลงทุน สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยก็เหมือนการเปลี่ยนทิศทางของลมค่ะ ถ้าเราเข้าใจทิศทางลม เราก็สามารถปรับใบเรือให้พาเราไปในทิศทางที่ต้องการได้

เมื่ออัตราดอกเบี้ย “ขึ้น”

  • หุ้น: โดยทั่วไปแล้วเมื่อดอกเบี้ยขึ้น บริษัทต่างๆ จะมีต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ทำให้กำไรของบริษัทลดลง ส่งผลให้ราคาหุ้นโดยรวมอาจได้รับผลกระทบในทางลบ แต่ก็ไม่ใช่ทุกหุ้นที่จะเป็นแบบนี้เสมอไปนะคะ ต้องดูเป็นรายอุตสาหกรรมไป

  • กองทุนรวม/ตราสารหนี้: การที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นทำให้ตราสารหนี้ที่ออกใหม่มีอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจกว่าตราสารหนี้เดิมที่ออกไปแล้ว ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้เดิมมีแนวโน้มลดลง ดังนั้นถ้าเราถือตราสารหนี้เดิมไว้ มูลค่าของเราก็จะลดลงไปด้วย

  • อสังหาริมทรัพย์: ต้นทุนการกู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น ทำให้คนซื้อบ้านได้ยากขึ้น และอาจส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ซบเซา

เมื่ออัตราดอกเบี้ย “ลด”

  • หุ้น: เมื่อดอกเบี้ยลดลง ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่างๆ ลดลง ทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตและทำกำไรได้ดีขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นโดยรวมมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น

  • กองทุนรวม/ตราสารหนี้: ในทางกลับกัน เมื่อดอกเบี้ยลดลง ราคาตราสารหนี้เดิมที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าก็จะได้รับความสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ราคาของตราสารหนี้เดิมสูงขึ้น

  • อสังหาริมทรัพย์: ต้นทุนการกู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดลง ทำให้คนซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น และเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นได้

สรุป : ดอกเบี้ยไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

จากที่เล่ามาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอข่าวเศรษฐกิจ แต่เป็น “ตัวแปรสำคัญ” ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตทางการเงินของเราทุกคนอย่างแท้จริง

  • ถ้าดอกเบี้ยขึ้น: เราจะต้องจ่ายหนี้แพงขึ้น ได้ดอกเบี้ยเงินฝากมากขึ้น และนักลงทุนต้องระมัดระวังในการลงทุนในบางสินทรัพย์

  • ถ้าดอกเบี้ยลด: เราจะจ่ายหนี้ถูกลง ได้ดอกเบี้ยเงินฝากน้อยลง แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน

ดังนั้นการทำความเข้าใจเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรให้ความสนใจค่ะ การอัปเดตข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ จะทำให้เราสามารถวางแผนการเงินได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงที่ดอกเบี้ยขึ้นหรือลงก็ตาม

และที่สำคัญที่สุดคือการ วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืม การออม หรือการลงทุน เพราะท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจทางการเงินของเราทุกคนคือสิ่งที่จะกำหนดอนาคตทางการเงินของเราเองค่ะ