ปรับพอร์ตหุ้น ลงทุนหลายสินทรัพย์ ในสถานการณ์ปัจจุบัน
6/16/2025
ลงทุนหุ้นตัวไหนดีในสถานการณ์ปัจจุบัน


เนื้อหาในบทความนี้ (คลิกเพื่ออ่านพาร์ทที่สนใจได้เลย!!)
Session 1 ปรับพอร์ตหุ้นรับมือเศรษฐกิจไทยกัน
Session 2 คัดหุ้นนอกมาแรง ต้องบอกต่อ
Session 3 Buy and Hedge หลักการลงทุนชนะตลาด
จากภาพรวมเศรษฐกิจไทย จะเห็นได้การส่งออก ชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1 คาดว่าไตรมาส 2 จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อีกทั้งการเติบโตของ GDP อาจอยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้และปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ เช่น สงครามตะวันออกกลาง ส่งผลให้ตลาดโลกผันผวนและกระทบไทยทางอ้อม นักวิเคราะห์มองว่าควรลงทุนกับหุ้นที่มีปันผลสม่ำเสมอ และหุ้นที่มีการผันผวนน้อย โดยแนะนำ ดังนี้
คุณสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย มองว่า ควรลงทุนในกลุ่มพลังงาน,โครงสร้างพื้นฐาน,เทคโนโลยี โดยมีหุ้นเด่นๆดังนี้
กลุ่มพลังงาน หุ้น PTTGC ที่มีแนวโน้มกลับมาเติบโตในช่วงปี 2027-2028 โดยมีปัจจัยภายนอกจากสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ที่อาจจะดันราคาพลังงานให้สูงขึ้น
กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน หุ้น BEM ที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวหรือผูกพันกับ global plan ซึ่งจุดเด่นของหุ้นนี้คือ อัตราการเติบโตค่อนข้างสูง, มี cash flow stable และก็ยังมีข้อเสียเหมือนกัน คือ ผลตอบแทนจากปันผลยังไม่สูงมากนัก เนื่องจาก บริษัทมีแผนลงทุนกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มหุ้นเทคโนโลยี หุ้น SYNEX มีโอกาสสร้างการเติบโตจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Nintendo Switch 2 ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มยอดขายและอัตรากำไร (Margin) ของบริษัทในอนาคต
ในขณะที่ น้าแดง คุณจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ Head of Research บล.ลิเบอร์เรเตอร์ มาใน Theme Dividend เย็นใจ (หุ้นปันผลดี)
โดยหลักการเลือกหุ้นที่ดีคือเน้นบริษัทที่กระแสเงินสดแข็งแกร่ง และควรรอซื้อในจังหวะที่เหมาะสม อีกทั้งเมื่อได้รับเงินปันผลแล้วหากนำไปลงทุนต่อในหุ้นตัวเดิมจะได้เหมือนเงินที่มีดอกเบี้ยทบต้นทบดอกอีกด้วย
ตัวอย่างหุ้นที่น่าสนใจและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ TTW, TISCO,ICHI,DIF,INET
ปิดท้ายด้วย คุณศรุติ โชติเสรีวิทย์ เจ้าของเพจ stock vitamin วิตามินหุ้น มองหุ้นเป็น ธีมเช่นกันโดยมาใน Theme Mad Unicorn (หุ้นเติบโตสูง)
ควรเลือกอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง
เลือกธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
เลือกหุ้นที่คาดว่าจะเติบโตได้อีก เช่น หุ้นเทคโนโลยี
ควรซื้อหุ้นในจังหวะที่ดี หากหุ้นขึ้นจะได้ Dividend Yield เพิ่มขึ้น
เลือกหุ้นที่ผู้บริหารมี Passion สูงและ CFO บริหาร Cash flow ได้ดี
สรุปการจัดพอร์ตหุ้นไทยใน ครึ่งปีหลัง นั้นควรลงทุนกับ
หุ้น Defensive + ปันผลดี เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจชะลอ เช่น BEM, TISCO เน้น กระแสเงินสดมั่นคง และมี การจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
หุ้นเติบโตระยะยาว (Growth / New Economy) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี (SYNEX), มองหาโอกาสในหุ้นที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
(Structural Change)
หุ้นได้ประโยชน์จากรัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยรัฐเร่งผลักดัน Mega Project และระบบราง เช่น CK, STEC, BEM
Session 1 ปรับพอร์ตหุ้นรับมือเศรษฐกิจไทยกัน
บรรยายโดย คุณสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ,น้าแดง คุณจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ Head of Research บล.ลิเบอร์เรเตอร์ และ คุณศรุติ โชติเสรีวิทย์ เจ้าของเพจ stock vitamin วิตามินหุ้น




ต่อกันที่พาร์ทที่ 2 กัน กับคุณ สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovesX และคุณกิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ นักลงทุนเน้นคุณค่า เจ้าของเพจ Billionaire VI กับหุ้นนอกที่กำลังเป็นกระแสมาแรงอย่างมาก โดนมีหุ้นแนะนำจากกูรู ดังนี้
คุณ สิทธิชัย เลือกเป็นหุ้นนอกที่กำลังเป็นกระแสในตอนนี้ คือ "หุ้น ASML" เนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมยังเติบโตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ส่วนหุ้นที่แนะนำอีกตัวหนึ่งเป็นบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง "TENCENT" ที่มีธุรกิจหลากหลายเช่น เกม, Wechat,Cloud รวมถึง Entertainment และยังมีการลงทุนในบริษัท start-up อีกด้วย ซึ่งคุณ สิทธิชัยมองว่า หุ้นทั้ง 2 ตัวที่เลือกมานั้น มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับหุ้นนอกตัวอื่น
.มาทางด้านคุณกิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ กันบ้าง แนะนำหุ้นเด็ดๆ 2 ตัว โดยตัวแรกจะเป็น "หุ้น Google" โดยคิดว่าจากสถานการณ์ในปัจจุบัน Google นั้น อาจจะเป็นหุ้นที่มีสำคัญน้อยลงไป เนื่องจากเป็น search engine เป็นการหาข้อมูลเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ AI เข้ามีบทบาทมากขึ้น แต่คุณกิตติศักดิ์ นั้นมองอีกแบบนึงว่า ธุรกิจของ google ยังสามารถไปต่อได้ เพราะมีการลงทุนใน AI อย่างจริงจัง เช่น Gemini, DeepMind และยังมีรายได้หลักจากโฆษณาอย่าง Youtube, การให้บริการบน google platform ในขณะเดียวกันก็ได้แนะนำหุ้นสัญชาติญี่ปุ่นที่เป็นรู้จักกันอยู่แล้วนั่นก็คือ "หุ้น UNIQLO (Fast Retailing)" นั่นเอง ที่คุณกิตติศักดิ์มองว่าเป็นหุ้นที่ดีตัวหนึ่ง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตในระยะยาว,มีความสามารถในการปรับตัวดีในช่วงเศรษฐกิจผันผวน ที่สำคัญมีการควบคุมต้นทุนทำให้สามารถกำไรได้ จึงเป็นหุ้นที่น่าจับตามองอีกตัวหนึ่ง
สรุปจากสถานการณ์ในปัจจุบันนั้น หุ้นนอกก็ยังเป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุน แต่ว่ายังต้องจับตามองกันต่อไปว่าสถานการณ์โลกจะเปลี่ยนไปทิศทางไหน แต่ควรลงทุนกับหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่สูงและปัจจัยด้านอื่นๆประกอบด้วย
Session 2 คัดหุ้นนอกมาแรง ต้องบอกต่อ


Session 3 Buy and Hedge
มาถึง พาร์ทสุดท้ายแล้วนะคะ โดยพาร์ทนี้ คุณศรุต ทวีกาญจน์ นักลงทุนอิสระ มาแชร์ประสบการณ์การซื้อหุ้นโดยใช้กลยุทธ์แบบ Buy and Hedge และ Buy and Hold ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันยังไงและใช้เครื่องมือตราสารอนุพันธ์เข้ามาช่วยซื้อหุ้นได้อย่างไรบ้าง หลักการลงทุนที่สามารถช่วยชนะตลาดและขาดทุนน้อยที่สุด
กลยุทธ์ที่ 1: Buy and Hold – ถือยาวอย่างมั่นใจ
แนวคิดหลัก:
ซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์เพื่อถือไว้ระยะยาว โดยไม่พยายามจับจังหวะตลาด
จุดเด่นของกลยุทธ์นี้:
เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อในศักยภาพของบริษัทหรือเศรษฐกิจในอนาคต
ลดค่าใช้จ่ายจากการเทรดบ่อย (เช่น ค่าคอมมิชชั่นหรือภาษี)
มีโอกาสรับผลตอบแทนจาก Capital Gain และ เงินปันผล
กลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:
เลือกหุ้นพื้นฐานดี (เช่น กลุ่มเทคโนโลยี, สุขภาพ, ธนาคารที่มั่นคง)
กระจายความเสี่ยงในหลายอุตสาหกรรม
ประเมินงบการเงินและแนวโน้มธุรกิจทุกปี
ใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) เพื่อเฉลี่ยต้นทุน
ตัวอย่าง ลงทุนในหุ้น Apple เพราะเชื่อว่าอนาคตยังโตต่อ
- ปีแรกหุ้นราคา $100
- คุณถือไว้ 5 ปี โดยไม่ขาย ไม่ซื้อเพิ่ม
- ปีที่ 5 หุ้นขึ้นเป็น $180
- กำไรของคุณ = $80 ต่อหุ้น โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
กลยุทธ์ที่ 2: Buy and Hedge – ป้องกันความเสี่ยงไว้เสมอ
แนวคิดหลัก:
ซื้อหุ้นเหมือน Buy and Hold แต่ เพิ่มการป้องกันความเสี่ยง ด้วยเครื่องมือทางการเงิน เช่น Options หรือ Futures
กลยุทธ์หลัก
ใช้ Put Options เพื่อประกันการขาดทุนจากราคาหุ้นตก
ใช้ Futures Contracts เพื่อล็อกราคาขายในอนาคต
กระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสวนทาง เช่น ทองคำ หรือตราสารหนี้
ข้อดี:
ลดความเสี่ยงจากตลาดขาลง
ยังคงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนหากตลาดเป็นบวก
ปรับสัดส่วนการป้องกันได้ตามสภาวะตลาด
ข้อจำกัด:
ต้องเข้าใจเครื่องมืออนุพันธ์ระดับหนึ่ง
มีต้นทุนในการ hedge เช่น ค่า premium ของ options
ตัวอย่างการลงทุน คุณลงทุนในหุ้น Tesla เพราะมองว่าระยะยาวดี แต่กลัวว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีในระยะสั้น
ซื้อหุ้น Tesla
ซื้อ “Put Option” ไว้ด้วย (ประกันราคาหุ้นตก)
ถ้าหุ้นตกจาก $300 → $250 คุณอาจขาดทุนหุ้น แต่กำไรจาก Option มาชดเชยได้
ดังนั้นวิธี Buy and Hedge อาจเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบระยะสั้นโดยใช้เครื่องตามที่กล่าวมาข้างต้นช่วยในการซื้อ-ขาย แต่ว่าการลงทุนด้วยวิธีนี้อาจจะต้องมีความรู้ในการใช้เครื่องอนุพันธ์ในระดับหนึ่งและมีต้นทุนการ hedge จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุนซักเท่าไหร่นัก
เป็นไงกันบ้างคะ นี่เป็นสรุปบางส่วนจากงานเสวนา SET in the city 2025 ที่เพิ่งจบไป ได้ทั้งความรู้อัดเน้นและมีกิจกรรมสนุกๆอีกมากมาย คราวหน้าจะมีบทความเกี่ยวกับการเงินเรื่องอะไร รอติดตามกันได้เลยน้าา


Finance
Simplifying finance for everyday workers and investors.
Contact us
moneysummary.io@gmail.com
"Please contact us by writing the email subject as 'Contact Moneysummary.io Website."
© 2025. All rights reserved.