มารู้จัก กองทุน ETF ตัวช่วยการลงทุนสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่

10/25/2025

มารู้จัก กองทุน ETF ตัวช่วยการลงทุนสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่กัน

กองทุน ETF คืออะไร

กองทุน ETF ย่อมาจาก Exchange Traded Fund เป็นกองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีลักษณะที่มีสภาพคล่องและค่าธรรมเนียมต่ำ เนื่องจากมีลักษณะการซื้อขายที่เหมือนหุ้นตัวนึง แต่ส่วนใหญ่นโยบายการลงทุนของ ETF จะเป็นการลงทุนตามสินทรัพย์อ้างอิงต่างๆหลายตัวรวมกัน เช่น หุ้นใน SET50, หุ้นสหรัฐฯ, ทองคำ หรือพันธบัตรรัฐบาล

ETF เหมาะกับใคร?

1. นักลงทุนมือใหม่: ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาเลือกหุ้นรายตัว เพราะ ETF ช่วย กระจายความเสี่ยง ให้โดยอัตโนมัติ

2. นักลงทุนที่มีเวลาน้อย/คนทำงานประจำ: ที่ไม่สามารถติดตามตลาดได้ตลอดเวลา เนื่องจาก ETF ส่วนใหญ่อิงดัชนี จึงไม่ต้องมีการปรับพอร์ตบ่อยครั้ง และสามารถใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) ได้ง่าย

3. นักลงทุนระยะยาว: ที่เชื่อมั่นในผลตอบแทนของตลาดโดยรวม และต้องการ ลดต้นทุน ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการให้ต่ำที่สุด

4. นักลงทุนที่ต้องการลงทุนต่างประเทศ: ETF เปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือธีมการลงทุนทั่วโลกได้ง่ายกว่าการซื้อสินทรัพย์เหล่านั้นโดยตรง

ทำไมต้องลงทุนใน ETF

1. ค่าธรรมเนียมต่ำ = ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว

กองทุนรวมทั่วไป โดยเฉพาะแบบ Active Fund มักจะมีค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างสูง (อาจอยู่ในช่วง 1.0% - 2.5% ต่อปี) ซึ่งในทางกลับกัน ETF ส่วนใหญ่มักเป็นกองทุนที่ลงทุนตามดัชนี (Passive Fund) เช่น ดัชนี SET50, S&P 500 หรือ Nasdaq 100 นั่นหมายความว่าผู้จัดการกองทุนไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจเลือกหุ้นมากนัก เพียงแค่ซื้อหลักทรัพย์ให้สัดส่วนตรงตามดัชนีอ้างอิง

2. ซื้อขาย "เรียลไทม์" (Real-Time) ไม่ต้องรอราคาปิดตลาด

การซื้อขายกองทุนรวมทั่วไปนั้น คุณจะต้องส่งคำสั่งซื้อหรือขาย และจะรู้ราคาที่แน่นอน (Net Asset Value: NAV) ณ สิ้นวัน ซึ่งหมายความว่าหากตลาดมีความผันผวน จะไม่สามารถปรับพอร์ตได้ตามที่เราต้องการ ในขณะที่ ETF นั้น เป็นการซื้อ-ขายสินทรัพย์อ้างอิงตามเวลาจริง ทำให้เราสามารถปรับพอร์ตให้ยืดหยุ่นเพื่อกระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม

3.สามารถกระจายความเสี่ยงได้หลากหลายระดับ

ETF ส่วนใหญ่มักจะลงทุนในดัชนีหรือกลุ่มสินทรัพย์ขนาดใหญ่ ซึ่งหมายความว่าการซื้อ ETF เพียง 1 หน่วย คุณกำลังถือหลักทรัพย์หลายสิบหรือหลายร้อยตัวพร้อมกัน อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือชั้นดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนหุ้นต่างประเทศ เช่น อยากลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก? แทนที่จะต้องเลือกซื้อหุ้นทีละตัว ก็สามารถซื้อ ETF ที่อ้างอิงดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีได้ทันที อยากกระจายไปในทองคำ สามารถลงทุน Gold ETF , อสังหาริมทรัพย์, หรือแม้แต่สกุลเงิน ETF ก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ทำให้สามารถสร้างพอร์ตที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ในหลายระดับ

4. ETF มีความโปร่งใสและติดตามดูข้อมูลได้ง่าย

โดยทั่วไปแล้ว กองทุนรวมแบบดั้งเดิมจะมีการเปิดเผยรายการหลักทรัพย์ที่ถืออยู่ในพอร์ต (Portfolio Holdings) เป็นระยะ ๆ อาจเป็นรายไตรมาสหรือรายเดือน แต่ไม่ใช่แบบเรียลไทม์ แต่ ETF จะเปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์ในพอร์ตทุกวันผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์หรือบลจ. นักลงทุนจึงสามารถตรวจสอบได้ว่า “เงินของเราไปอยู่ในหุ้นหรือสินทรัพย์ตัวไหนบ้าง” ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ

5. ตอบโจทย์ยุคดิจิทัลและนักลงทุนรุ่นใหม่

ETF เหมาะกับนักลงทุนยุคใหม่ที่ต้องการ ความสะดวก โปร่งใส และต้นทุนต่ำ โดยปัจจุบันสามารถซื้อ ETF ผ่านแอปเทรดหุ้น เช่น SCB Easy Invest, FINNOMENA, Streaming, Bualuang iBanking ฯลฯ และยังมี ETF ต่างประเทศที่ซื้อผ่านแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง eToro, Robinhood, หรือ Interactive Brokers

สรุป

กองทุน ETF คือการนำเอาจุดเด่นของกองทุนรวมและหุ้นทั้งสองมาไว้ด้วยกัน นั่นคือ การ กระจายความเสี่ยง ในหลายสินทรัพย์ (แบบกองทุนรวม) และ ความคล่องตัวสูง ในการซื้อขายได้ตลอดเวลาในราคาเรียลไทม์ (แบบหุ้น) จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือ ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็น Passive ETF ที่บริหารตามดัชนี ทำให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน แต่ไม่มีเวลาดูตลาด อีกทั้งยังต้องการลงทุนในตลาดโลกได้อย่างสะดวกสบาย แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกครั้งมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนทุกครั้งเพื่อป้องกันการขาดทุน